ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน การเริ่มต้นใช้ชีวิตอยู่กับโควิด-19 ( 단계적 일상회복 ) ในระยะที่ 1 กำลังจะเริ่มต้นขึ้น โดยมีการแบ่งระดับการใช้ชีวิตกับโควิดออกเป็น 3 ระยะ และจะมีการดำเนินการเปลี่ยนทุกๆ 6 สัปดาห์ โดยขึ้นอยู่กับอัตราการฉีดวัคซีนครบโดส และสัดส่วนของผู้ป่วยอาการหนัก รวมไปถึงความสามารถทางระบบการแพทย์ มาตราการควบคุมโรคจะค่อยๆ ผ่อนคลายจากระยะที่ 1 ไปถึงระยะที่ 3
1. ยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับชั่วโมงการให้บริการสถานอำนวยความสะดวกเอนกประสงค์
อาทิ ร้านอาหาร คาเฟ่ สถานศึกษา โรงภาพยนตร์ โรงแสดงละคร ห้องอ่านหนังสือ และร้าน PC รูม โดยจะยกเลิกการจำกัดเวลาทำการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป
ส่วนข้อจำกัดด้านชั่วโมงการให้บริการตามห้อร้องเพลง (โนแรปัง) สถานอำนวยความสะดวกกีฬาในร่ม และห้องอาบน้ำสาธารณะ จะยกเลิกแต่จะใช้บริการได้เฉพาะผู้ที่รับวัคซีนครบโดส หรือผู้มีผลตรวจโควิดแบบ PCR เป็นลบเท่านั้น โดยจะสกรีนผู้ใช้งานผ่าน ระบบบัตรผ่านวัคซีน (Vaccine Pass)
ส่วนคลับ, แดนซ์ฮอล์ ฯลฯ จะเปิดให้บริการได้จนถึง เที่ยงคืน และต้องมีการนำระบบบัตรผ่านวัคซีนมาใช้
2. กิจกรรมและการชุมนุมส่วนตัว
อนุญาตให้จัดกิจกรรมและมีการชุมนุมส่วนตัวจำนวนมากได้โดยเน้นที่ผู้เข้าร่วมต้องได้รับวัคซีนครบโดสตามกำหนด (งานแต่งงาน, เทศกาลในท้องถิ่น ฯลฯ)
ในระยะที่ 1 แขกจะสามารถเข้าร่วมงานได้ไม่เกิน 100 คน โดยแยกคนรับวัคซีนครบแล้วร่วมงานด้วยกัน และคนไม่ได้รับวัคซีนร่วมงานด้วยกัน หากมีแขกน้อยกว่า 500 คน จะสามารถเข้าร่วมได้เฉพาะคนที่รับวัคซีนครบโดสหรือผู้ที่มีผลตรวจโควิดแบบ PCR เป็นลบเท่านั้น
ในระยะที่ 2 ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วและผู้ที่ยังไม่ฉีดสามารถรวมตัวที่เดียวกันได้ไม่เกิน 100 คน แต่ถ้าฉีดวัคซีนครบโดสจะไม่มีการจำกัดจำนวนการรวมตัวทำกิจกรรม
ในระยะที่ 3 ยกเลิกการจำกัดจำนวนการชุมนุมสามารถรวมกันได้อย่างอิสระ เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎการควบคุมโรคขั้นพื้นฐานเท่านั้น
3. การชุมนุมส่วนตัว
ในระยะที่ 1 และ 2 สามารถจัดการชุมนุมส่วนตัวได้มากถึง 10 คนในเขตมหานคร และ 12 คนในพื้นที่นอกเมือง
ร้านอาหารและร้านกาแฟที่มีการเสริฟอาหารจะมีการจำกัดให้ในกลุ่มต้องมีผู้ที่ยังไม่รับวัคซีนร่วมโต๊ะได้ด้วยไม่เกิน 4 คน กล่าวคือ มีคนรับวัคซีนครบโดสอย่างน้อย 6 คน และไม่ได้นับวัคซีนครบโดสสูงสุด 4 คน
สถานอำนวยความสะดวกเอนกประสงค์อื่น ๆ สามารถจัดการชุมนุมส่วนตัว 10 คนได้ในเขตปริมณฑล และ 12 คนในเขตนอกเมือง โดยไม่คำนึงถึงจำนวนผู้รับวัคซีนในกลุ่ม
ในระยะที่ 3 จะมีการยกเลิกข้อจำกัดในการชุมนุมส่วนตัวทั้งหมด
4. การคุ้มครองสถานอำนวยความสะดวกที่ยังไม่เสถียร
เฉพาะผู้ที่ได้รับวัคซีนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าใช้บริการสถานบริการที่มีความปลอดภัยต่อการติดเชื้อต่ำ เช่น สถาบันทางการแพทย์ ในกรณีที่ต้องการเข้าเยี่ยมผุ้ป่วยหรือเยี่ยมสมาชิกในครอบครัวและคนรู้จักจะต้องได้รับวัคซีนครบเท่านั้น
5. สถานอำนวยความสะดวกทางศาสนาและชีวิตประจำวันอื่น ๆ
กิจกรรมทางศาสนา ผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาได้โดยจำกัดมากสุดถึง 50% ของความจุ และหากฉีดวัคซีนครบโดสหมดทุกคนจะไม่มีการจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้งาน
มีการขยายชั้นเรียนแบบตัวต่อตัวในโรงเรียน และการปรับกิจกรรมการศึกษาให้เป็นปกติ และยกเลิกการเรียนออนไลน์ , การประชุมผ่านวิดีโอในที่ทำงาน
นอกจากนี้ยังเตรียมมาตรการฟื้นฟูชีวิตประจำวันสำหรับภาคส่วนต่างๆ อาทิ เช่น การท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย, การแสดงคอนเสิร์ตและสื่อวัฒนธรรมต่างๆ
*จะมีการจัดทำแผนฟื้นฟูแบบรายวันหลังหารือโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง*
6. สวมหน้ากากในร่ม/กลางแจ้ง และบันทึกการใช้บริการสถานที่ต่างๆ ผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นกิจวัตรประจำวัน
เฉพาะกฎหลัก เช่น การสวมหน้ากากและการบันมึกรายการเข้ามช้บริการแบบผ่านเครื่องมือบักทึกแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น และกฎการกักตัวส่วนบุคคลจะยังคงมีคงรักษาไว้สำหรับโรงงานและอุตสาหกรรมต่างๆ
เมื่อการควบคุมโรคระบาดโดยรวมผ่อนคลายลง รัฐบาลจะพิจารณาเพิ่มค่าปรับและบทลงโทษสำหรับผู้ที่ทำการละเมิดการกักกันโรค เช่น การไม่สวมหน้ากากตามที่สาธารณะและสถานที่ไม่นำบัตรผ่านวัคซีนเข้ามาใช้ตามคำแนะนำ
7. การนำ บัตรผ่านวัคซีน “Vaccine Pass” มาประยุกต์ใช้
ขั้นแรก บัตรผ่านวัคซีนจะถูกนำไปใช้กับสถานอำนวยความสะดวกเอนกประสงค์ที่มีความปลอดภัยต่ำและแหล่งที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือกิจกรรมที่ต้องมีกทรรวมตัวกันมากกว่า 100 คน
ภาครัฐขอแนะนำให้ประชารใช้แอป CooV เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันการฉีดวัคซีน และใบรับรองการฉีดแบบกระดาษ (คุณสามารถขอได้ที่ศูนย์สาธารณสุข) และสติ๊กเกอร์ยืนยันการฉีดวัคซีนเองก็สามารถใช้ได้
ใบรับรองผลตรวจแบบ PCR ที่ให้ผลลบหรือข้อความยืนยันผ่านมือถือจะสามารถใช้เพื่อพิสูจน์การไม่ติดเชื้อได้ (โดยผลต้องออกมาแล้วไม่เกิน 48 ชั่วโมง)
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ สามารถไปที่ศูนย์สาธารณสุขพร้อมใบรับรองแพทย์ที่เกี่ยวข้องเพื่อรับ “접종증명·음성확인제 예외 확인서” ได้
* ผู้ที่ฉีดวัคซีนไม่ได้: ผู้ที่มีปฏิกิริยาผิดปกติหลังการฉีดวัคซีนครั้งแรก หรือกำลังใช้ยากดภูมิคุ้มกันหรือยาต้านมะเร็ง เป็นต้น
8. เตรียมเปลี่ยนแผนฉุกเฉิน
หากภาระของระบบการแพทย์เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีผู้ป่วยรุนแรงและเสียชีวิตอย่างต่อเนื่องในช่วงการปรับตัว ‘อยู่ร่วมกับโควิด-19’ จะมีการรักษาเสถียรภาพสถานการณ์การควบคุมโรคชั่วคราวด้วยการนำมาตรการฉุกเฉินเข้มงวดมาใช้
9. การจัดการผู้ป่วยโควิด-19 โดยเน้นการรักษาที่บ้าน
ผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการไม่รุนแรงจะถูกย้ายไปรักษาที่บ้าน หากการรักษาที่บ้านเป็นเรื่องยากจะมีการเข้าใช้ศูนย์ไลฟ์แคร์
10. การจัดการผู้เข้าเมืองที่มาจากต่างประเทศ
ระบบการจำแนกประเภทปัจจุบันสำหรับต่างชาติจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ แต่จะลดความซับซ้อนลงเหลือเพียง 3 ระดับ
ในประเทศกุ่มสีเขียวระดับ 1 (ปลอดภัย) จะได้สิทธิประโยชน์ด้ารการยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศ รวมถึงยกเลิกการกักตัวหากรับวัคซีนครบโดส รวมทั้งไม่ต้องส่งผลตรวจโควิด-19 เป็นลบเช่นเคยๆ โดยจะเริ่มธันวาคมนี้
กลุ่มประเทศสีเหลืองระดับ 2 (ปลอดภัยปานกลาง) ผู้ที่รับวัคซีนครบโดสจะเริ่มเปิดให้เข้าประเทศแบบไม่ต้องกักตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2022
ระดับ 3 (ปลอดภัยต่ำ) การขอวีซ่าเข้าประเทศจะยังคงมีอยู่และมีการจำกัดเที่ยวบินเช่นเดิม
11. การฉีดวัคซีนและการใช้การรักษา
มีการเพิ่มข้อมูลด้านฉีดวัคซีนโดยจะได้รับการสนับสนุนการให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และวัตถุประสงค์เกี่ยวกับผลกระทบของการฉีดวัคซีนและปฏิกิริยาผิดปกติต่อผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และจะมีการลดขั้นตอนการฉีดวัคซีนลงทำให้เจ้าถึงการฉีดวัคซีนได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องจองล่วงหน้า
การฉีดวัคซีนจะดำเนินการตามลักษณะภูมิภาค ในเมืองกิมแฮ คย็องซังนัมโด (경남 김해) จะมีบูธฉีดวัคซีนสำหรับชาวต่างชาติ และในอันซัน คย็องกีโด (경기 안산) จะมีรถบัสวัคซีนให้บริการ อาทิ อันซอง(경기 안성) และ ชางวอน(경남 창원) จะขนวัคซีนแบบครบวงจรลงฉีดตามพื้นที่ๆมีชาวต่างชาติที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนพำนัก
นอกจากนี้ยังจะมัการขยายบูสเตอร์อีกด้วย บูสเตอร์ช็อตสามารถนำมาใช้ได้หลังรับวัคซีนไปแล้ว 6 เดือน (สำหรับ J&J สามารถฉีดได้หลังรับวัคซีนไปแล้ว 2 เดือน) และ ณ ตอนนี้ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนJ&J, ผู้สูญเสียภูมิคุ้มกัน, และบุคลากรที่จำเป็นเท่านั้นที่ได้รับเข็มบูสเตอร์ แต่จะมีการเพิ่มเข็มบูสฯให้ประชาชนทั่วไปด้วย
อย่างไรก็ตาม หากพบความเสียหายหรือปฏิกิริยาผิดปกติที่เกิดจากการฉีดวัคซีนจะได้รับการค่าชดเชยอย่างเหมาะสม และจะดำเนินการตรวจสอบความเสียหายตามวัตถุประสงค์โดยผู้เชี่ยวชาญทันที
รัฐบาลจะเสริมความรับผิดชอบและอนุญาตให้ทุกคนฉีดวัคซีนได้อย่างมั่นใจ โดยจะขยายกรอบค่ารักษาพยาบาลให้สูงถึง 30 ล้านวอน แม้แต่ผู้ป่วยที่ไม่แน่ใจว่ามีสาเหตุผิดปกติมาจากวัคซีนหรือไม่ทางรัฐจะให้การสนับสนุนไว้ก่อน
นอกจากนี้ยังจะมีการจัดหายารักษาแลบรับประทานไว้ทั้งหมด 404,000 โดสซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2022 นี้ และรัฐบาลยังวางแผนที่จะใช้ประโยชน์สูงสุดจากการรักษาด้วยยาชนิดนี้ด้วย
ขอบคุณที่มาจาก : แหล่งข่าว