ในขณะที่การติดเชื้อโควิด-19 ที่ศูนย์กักกันโซลดงบู (서울동부구치소) ยังคงดำเนินต่อไป กระทรวงยุติธรรมเองก็กำลังดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด -19 ในกลุ่มผู้ต้องขังทุกคนที่ศูนย์พักพิงต่างชาติชั่วคราว (외국인보호소)
กระทรวงยุติธรรมกล่าวว่า:
“เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราได้ทำการตรวจหาโควิด-19 ให้กับชาวต่างชาติทั้งหมดภายในศูนย์พักพิงต่างชาติชั่วคราวมาตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม”
กระทรวงยุติธรรมยังอธิบายด้วยว่าผู้ต้องขังใหม่จะต้องแยกอยู่แบบโดดๆ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก่อนและหลังเข้าศูนย์มาแล้วจะมีการตรวจสอบโควิด-19 ก่อนจะย้ายผู้ต้องขังไปยังห้องคุ้มครองทั่วไป แต่นั่นก็ต่อเมื่อมีการระบุการตรวจหาเชื้อเป็น ‘ลบ’ เท่านั้น
ขณะเดียวกันกระทรวงยุติธรรมชี้แจงว่าสื่อบางสำนักรายงานว่าศูนย์พักพิงต่างชาติชั่วคราวไม่มอบให้หน้ากากอนามัยแก่ชาวต่างชาตินั้นไม่เป็นความจริงอย่างยิ่ง
กระทรวงยุติธรรมจัดหาหน้ากากให้กับชาวต่างชาติที่ได้รับการคุ้มครอง ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2020 และได้ดำเนินการ “สวมหน้ากากอนามัยในศูนย์อยู่เสมอ” ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน
และตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคมมานั้น ภายในศูนย์มีการใช้กฎต่างๆเข้มงวดขึ้น เช่น “สวมหน้ากากหากต้องอยู่ในห้องเดียวกันกับผู้อื่น”
กระทรวงยุติธรรมยังหักล้างคำวิจารณ์ของสื่อที่ว่าจำนวนผู้ต้องขังในศูนย์พักพิงชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเกือบสองถึงสามเท่าจากปกติ
กระทรวงยุติธรรมกำลังละเว้นจากการปราบปรามชาวต่างชาติที่เป็นผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายให้มากที่สุด และรักษาอัตราการคุ้มครองต่างชาติเฉลี่ยไม่เกิน 60% ของพื้นที่ๆ สามารถรองรับได้
ซึ่งหมายความว่า ผู้อพยพผิดกฎหมายที่มีคดีหรือกำลังถูกปราบปราม แต่ผู้อพยพผิดกฏหมายที่หลบเข้ามาทำงานนั้นจะได้รับการละเว้นจากการปราบปราม
กระทรวงยุติธรรมประสบปัญหาในการส่งชาวต่างชาติที่ได้รับการคุ้มครองในศูนย์พักพิงชั่วคราวนี้กลับประเทศ เนื่องจากมีการระงับเที่ยวบินระหว่างประเทศเพราะผลกระทบจากโควิด-19 แต่ได้มีการเรียกร้องให้มีการเปิดบริการเที่ยวบินกลับประเทศจนกระทั่งมีเที่ยวบินกว่า 173 เที่ยวที่ให้ความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2020
ผลที่ตามมาระบุว่ามีการส่งผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายกว่า 6,359 คนกลับประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณที่มาจาก: แหล่งข่าว